แตงกวา แม็คกรีน ตรา พาวเวอร์ซีดส์
ลำต้นแข็งแรง แตกแขนงดี ขึ้นค้างเก่ง
ผลดกสวย
ผลสีเขียวเข้ม ทรงกระบอก
เนื้อหนา ไส้เล็ก หวานกรอบ
ความยาวประมาณ 12-14 ซม.
ต้านทานโรคเติบโตได้ทุกฤดูกาล
น้ำหนักดี
อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 30-32 วันหลังหยอดเมล็ด
วิธีการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์
วิธีการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์เป็นการคงสภาพความมีชีวิต ของเมล็ดพันธุ์ให้อยู่ได้นานที่สุด มีอยู่หลายวิธี เช่น
1. แบบเปิด (open storage) เป็นวิธีการที่ไม่สามารถควบคุมความชื้น และอุณหภูมิของบริเวณที่เก็บเมล็ดพันธุ์ได้ ความมีชีวิตของเมล็ดจึงผันแปรไป ตามสภาพอากาศ ถ้าเมล็ดอยู่ในสภาพที่มีความชื้นสูง จะทำให้ความชื้นในเมล็ด สูงขึ้นด้วย เรียกคุณสมบัตินี้ว่า hygroscopic
2. แบบควบคุมความชื้นในเมล็ดแล้วเก็บในภาชนะที่ปิดสนิท เช่น ซองพลาสติก กระป๋อง ถุงกระดาษฉาบอะลูมิเนียม เพื่อป้องกัน ไม่ให้ความชื้นในอากาศเข้าไปในเมล็ดได้
3. แบบปรับสภาพให้เย็นและแห้ง เหมาะกับการเก็บรักษา เมล็ดพืชหลายชนิด เช่น ผัก ไม้ดอก ธัญพืช สภาพที่มีประสิทธิภาพ สูงสุด ควรรักษาระดับความชื้นในเมล็ด 3-8 เปอร์เซ็นต์และเก็บ ในอุณหภูมิ 1-5 องศาเซลเซียส
4. แบบเย็นและชื้น (cool moist storage) เหมาะกับการเก็บรักษา เมล็ดพืชที่มีอายุสั้น (recalcitrant) หลายชนิดที่ไม่ชอบสภาพแห้ง เพราะจะเสียความงอก
5. แบบอุ่นและชื้น (warm moist storage) เหมาะกับการเก็บรักษา เมล็ดพืชเมืองร้อนหลายชนิด เช่น ลำไย เงาะ มังคุด มะม่วง ทุเรียน โกโก้ มักเป็นเมล็ดพืชที่มีอายุสั้นด้วย
ประโยชน์ของการใช้เมล็ดพันธุ์ดี
ประโยชน์ของการใช้เมล็ดพันธุ์ดี
ให้ผลผลิตดี
1.1 ตรงตามสายพันธุ์
1.2 ได้ผลผลิตสูง
มั่นคงทางเศรษฐกิจ
2.1 ใช้เมล็ดพันธุ์ปลูกน้อย
2.2 ไม่ต้องเสียเวลามาปลูกซ่อมหรือมาปลูกใหม่
2.3 ไม่เสียแรงงานที่จะนำมาใช้ในการปลูกซ่อมหรือปลูกใหม่ ตลอดจนแรงงานที่นำมาใช้ในการดูแลรักษา เช่น การป้องกันกำจัดโรค แมลง วัชพืชและศัตรูพืชต่าง ๆ
2.4 ไม่เป็นแหล่งแพร่โรค แมลง วัชพืช และศัตรูต่าง ๆ
2.5 เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตามกำหนด
2.6 จำหน่ายผลผลิตได้ตามกำหนด
ทำให้เกิดความมั่นใจเมื่อนำไปปลูกแล้วจะประสบผลสำเร็จ
3.1 เมล็ดพันธุ์มีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง
3.2 ต้นพืชมีความสม่ำเสมอทั่วทั้งแปลง
3.3 ต้นพืชตั้งตัวได้เร็วและมีความแข็งแรง
3.4 ได้จำนวนต้นพืชมาก
3.5 ปลูกเพียงครั้งเดียว ไม่ต้องมาปลูกซ่อมหรือมาปลูกใหม่
3.6 ต้นพืชมีความทนทานและสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี
ความรู้เรื่องการเลือกเมล็ดพันธุ์ สำหรับมือใหม่หัดปลูก
ในการเพาะปลูกพืชเพื่อการค้าหรือเชิงพาณิชย์นั้น สิ่งที่ถือว่าเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกนั้นก็คือ การคัดสรรเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ เพื่อให้ได้ผลผลิตสูง ตรงตามความต้องการของตลาด และคุ้มค่ากับการลงทุนมากที่สุด เนื่องจากพืชจะเจริญเติบโตได้ดีขึ้นอยู่กับเมล็ดพันธุ์ ส่วนปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน น้ำ ปุ๋ย จะเป็นส่วนสนับสนุนช่วยทำให้พืชพันธุ์นั้นงอกงามได้เป็นอย่างดี
เมล็ดพันธุ์แบ่งได้เป็น 2 ชนิดกว้างๆ คือ
เมล็ดพันธุ์ OP (Open-pollinated)
เมล็ดพันธุ์ลูกผสม F1
1. พันธุ์เปิด หรือ ที่เรียกว่า โอ.พี. (O.P.) ที่ย่อมาจากคำว่า Open breed ความหมายของมันก็คือ เป็นเมล็ดพันธุ์สายพันธุ์แท้ ที่มีพันธุ์กรรมคงที่ ไม่มีการแปรปรวนทางพันธุกรรมเกิดขึ้นเนื้องจากเป็นสายพันธุ์เดี่ยว หากมีการนำเมล็ดที่ได้จากการเพาะปลูกในรุ่นถัดๆ กันไปทำการเพาะปลูกขยายพันธุ์ ก็จะได้ต้นที่มีลักษณะที่เหมือนต้นเดิมทุกประการ ทั้งรูปทรง โครงสร้าง และผลผลิต พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เราสามารถเก็บพันธุ์เองได้ต่อไปเรื่อยๆ
2. ส่วนเมล็ดพันธุ์ F1 (F One-Hybrid) เป็นเมล็ดพันธุ์สายพันธุ์ลูกผสม ในชั่ว (รุ่น) ที่เกิดจากการผสมข้าพันธุ์ระหว่างพันธุ์แท้ 2 สายพันธุ์ หรือเรียกเข้าใจง่ายว่าพ่อและแม่พันธุ์ (อาจจะ 3 หรือ 4 สายพันธุ์ก็ได้) เมล็ดแบบ F1 ที่ได้ไปปลูกจะมีการเปลี่ยแปลงของลักษณะเกิดขึ้นผิดไปจากเดิมเนื่องจากเกิดจากการมี 2 สายพันธุ์หรือมากกว่ามาผสมกัน ลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นจะคล้ายกับสายพันธุ์พ่อหรือสายพันธุ์แม่ ดังนั้นอาจจะทำให้ให้ลักษณะของพืชที่ได้นั้นดีขึ้น หรือเลวลงก็ได้ ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าเมล็ดพันธุ์ชนิดนี้มีความแปรปรวนของพันธุกรรมสูง เมื่อนำไปปลูกจะมีความแตกต่างกันในหลายลักษณะ จะไม่เหมือนต้นแม่ จึงไม่เป็นที่นิยมในหมู่เกษตรกรในการเก็บเมล็ดมาทำพันธุ์ต่อไป จะมีก็แต่เมล็ดพันธุ์ที่ผลิตในเชิงการค้าที่มีการผลิตมาโดยเฉพาะ เนื่องจากเมล้ด F1ให้ผลดีกว่า ผลผลิตสูงกว่า พันธุ์เปิด ส่งผลให้ในปัจจุบันเมล็ดพันธุ์มักจะเป็นลูกผสมหรือไฮบริดเสียส่วนใหญ่ เพราะนอกจากผลดีทางพันธุกรรมแล้ว ยังควบคุมสายพันธุ์ไว้ในการควบคุมเพื่อหวังผลทางการตลาดได้ด้วย (ถือเป็นความลับทางการค้านะครับผม และลิขสิทธิ์ของเจ้าของสายพันธุ์นั้นๆ )